+ ขนาดโดยประมาณ สูง 3.7 ซ.ม.
เนื้อทองแดง
(20.7.7.1)
***รับประกันเป็นพระแท้***
กรุณาอ่านตรงนี้ก่อน
*** ขายตามราคาที่ลงไว้ + ค่าส่งทาง ปณ.ตามที่แจ้งไว้ข้างต้น *** กรุณาไม่ต้องลองต่อรองราคามา
*** สภาพตามรูปที่ลงไว้ ไม่ถ่ายรูปสดเพิ่มเติม *** ไม่มีแบบเก็บเงินปลายทาง,ไม่มีการนัดรับพระฯ
*** ไม่ถ่ายพระฯกับบัตร ปชช./ บช.ธนาคาร (มีพระฯจำนวนมากจะนำพระฯออกมาเพื่อแพคส่งเท่านั้น)
***** หากเห็นว่ารับวิธีขายข้างต้นไม่ได้ กรุณาผ่านเลย จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย
ขอเชิญเข้าเยี่ยมชมหน้าร้านอัปสรา อมิวเลท ที่lnwshop => http://apsara-amulet.lnwshop.com/
และที่หน้าร้านหลัก => https://www.web-pra.com/shop/apsara-amulet
การติดต่อสอบถามเพิ่มเติมทาง line id : apsara888

++ คัดลอกประวัติของท่านบางส่วนมาจาก facebook.com/พระเครื่อง สุทธินันท์
ขออนุญาตเผยแพร่และขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย
“ ... ประวัติหลวงปู่ฟัก อินทร์โส ชาตะ ๑๒ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๔๔
มรณภาพ ๓ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๓๑ สิริอายุ ๘๖ พรรษา ๖ เดือน
ประวัติวัดนิคมประชาสรรค์ (วังไทรติ่ง)
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่ฟักท่านได้เดินธุดงค์มาจากอยุธยาเรื่อยมา จนถึงบ้านวังไทรติ่งในปัจจุบันในสมัยนั้น
ยังไม่เป็นหมู่บ้านยังเป็นแค่ป่ารกเป็นยุคที่ทางการได้จัดสรรให้คนปั่นสามล้อเข้ามาบุกเบิกที่ทางเพื่อจับจองปลูกที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ส่วนหลวงปู่นั้นเมื่อเดินธุดงค์มาถึง ท่านก็ได้ทำการปักกรดอยู่ที่ชายเขา และได้มีกลุ่มชาวบ้านมานิมนต์ขอให้ท่าน
จำพรรษา ณ หมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนตัวท่านเองก็ได้ตกลงและได้ดูที่ทางเพื่อสร้างเป็นกฎิหลังเล็กๆ มุงด้วยจากเชิงเขาด้านหลังวัด
ในปัจจุบัน โดยสมัยนั้นมีต้นไทรใหญ่และวังน้ำอยู่ด้านหน้ากุฎิของท่าน จึงได้เรียกกันว่า “วังไทรติ่ง” มาจนถึงปัจจุบันและต่อมาไม่นานประมาณ พ.ศ.๒๕๑๑ ผู้ปกครองนิคมสมัยนั้น คือ นายสำเภา ได้กราบขอให้หลวงปู่มาสร้างวัด โดย ทางการได้จัดสรรที่ให้ประมาณ ๑๕ ไร่ เพื่อสร้างวัด โดยถัดขึ้นมาทางเหนือจากที่เดิมประมาณครึ่งกิโลเมตร มีญาติโยมมาลงแรง ช่วยกันบุกเบิกถากถางป่า ไผ่และป่าหนามจนเป็นที่ว่างพอก็ได้สร้างกุฎิขึ้นมา ๓หลัง เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๕๑๕ ก็ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นวัดและตั้งชื่อใหม่ว่า... "วัดนิคประชาสรรค์” จนมาถึงปัจจุบัน ในสมัยนั้นก็มีภิกษุบวชจำพรรษาอยู่ปีละ ๔-๕ รูป หลวงปู่มีความวิริยะอุตสาหะ ด้วยศรัทธาจากชาวบ้าน และญาติโยมจากต่างถิ่นที่ได้นำทั้งแรงกายและปัจจัยได้เข้ามาช่วยเหลือท่าน
ทั้งช่วยกันไปตัดไม้จากป่า เลื่อยไม้ ถากเสา จนได้ฤกษ์งามยามดี จึงได้กราบอาราธนาเจ้าคณะอำเภอมาเป็นประธานยกเสาเอกเพื่อสร้างกุฎิหอฉันขึ้นเป็นหลังแรกหลวงปู่เองท่านเป็นพระปฏิบัติที่มีจิตใจอันใสสะอาด คอยอบรม ดูแล พระภิกษุ สามเณร และญาติโยมทั้งหลายอยู่เสมอ ท่านได้จัดให้พระภิกษุ สามเณร ได้เรียนพระปริยัติและปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของทางวัด โดยผิวเผินอาจจะดูว่าท่านนั้นเป็นพระที่ดุ ปากร้าย แต่จริงแล้วท่านคอยอบรมให้ลูกศิษย์เป็นคนดี จนท่านได้สร้างกุฎิ
หอฉันเสร็จตามมุ่งหวังของท่านอย่างสมบูรณ์ และในสมัยนั้นท่านได้ร่ำเรียนวิชามาจากอาจารย์ของท่านซึ่งมีอยู่๕องค์ด้วยกันก็มีหลวงพ่อทองสุข (วัดโตนดหลวง) หลวงพ่อเหลือ (วัดสาวชะโงก) ท่านได้ศึกษาทั้งด้านวิชาอาคม ของขลังและตำรารักษาโรค
ในด้านเครื่องรางที่ขึ้นชื่อของท่านก็มีปลัดขิกที่เป็นที่เรื่องลือไปไกลจนมีผู้คนรู้จักกันมาก ในด้านแคล้วคลาด ปลอดภัย จนทำให้มีญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาได้นำทั้งกฐินและผ้าป่ามาช่วยเหลือเพื่อสร้างวัดทั้งที่ในสมัยนั้นถนนหนทางก็ลำบากเป็นทางลูกรังแต่มีญาติโยมเดินทางเข้ามาช่วยเหลือทางวัดอยู่เสมอจนมาถึง พ.ศ. ๒๕๒๗ หลวงปู่ และลูกศิษย์ และญาติโยมในหมู่บ้านช่วยกันวางรากฐานพระอุโบสถท่านก็ได้อาศัยแรงจากชาวบ้าน และญาติโยม ที่ให้ความช่วยเหลือในทั้งร่างกายและเงินทุนในการก่อสร้างพระอุโบสถจากญาติโยม โดยอาศัยเครื่องรางขลังของท่าน ใครที่อยากบูชาวัตถุมงคลของท่านต้องร่วมกันสร้าง
พระอุโบสถโดยท่านได้ให้ปลัดขิก ๑ ตัวแลกกับการเป็นเจ้าภาพปูน ๑ ตัน หรือว่าเหล็ก ๑๐ เส้น ในสมัยนั้นหลวงปู่ก็เป็นที่รู้จัก เคารพและศรัทธากันอย่างทั่วหลาย จึงทำให้ท่านสามารถสร้างพระอุโบสถแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ ในปีพ.ศ.๒๕๓๐ โดยท่านใช้ระยะเวลาในการสร้างพระอุโบสถ ๓ ปีเต็ม ณ เวลานั้นอายุของท่านก็เข้าไป ๘๔ ปี ร่างกายของท่านเริ่มชราภาพพอสมควรแต่ท่านเองก็ยังมุ่งหวังที่จะทำการปิดทองฝังลูกนิมิตแต่ก็ยังไม่ทันที่จะได้ดำเนินการเพราะสังขารของท่านไม่ไหวอีกด้วยมีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บในครั้งนี้ไปได้ จนมาเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. ท่านก็ได้ทำการละสังขาร รวมอายุของท่านในตอนนั้นได้ ๘๖ ปี กับอีก ๖ เดือน ญาติโยมและลูกศิษย์ที่ได้รู้ข่าวว่าท่านมรณภาพต่างก็เสียใจเป็นอย่างมาก ซึ่งความมุ่งหวังของท่านที่จะปิดทองฝังลูกนิมิตยังไม่บรรลุเป็นผลสำเร็จ ชาวบ้านและบรรดาลูกศิษย์ของท่านจึงประชุมกันและได้ข้อตกลงกันว่าจะขอเก็บร่างของท่านไว้ให้ชนรุ่นหลังและผู้คนที่ผ่านไปมาได้เข้า กราบสักการะท่าน ... “